• th

    ติดต่อเรา
    29/11 หมู่ 3 ถนนพระราม 2 ตำบลนาดี อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
    อีเมล : lekise.digitalmkt@gmail.com
    LeKise
    คำถามที่พบบ่อย
    • คำถามที่พบบ่อย

      A : LED ย่อมาจาก Light-Emitting Diode หรือไดโอดเปล่งแสง จัดเป็นส่วนประกอบของโซลิดสเตตที่ให้แสงสว่าง หลอดไฟ LED แต่ละดวงประกอบด้วยไดโอดสารกึ่งตัวนำซึ่งจะเปล่งแสงเมื่อมีการจ่ายแรงดันไฟฟ้า ทั้งนี้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของหลอดไฟมักมีลักษณะที่ไม่ซับซ้อนและไม่แตกง่ายจึงคงอยู่ได้ยาวนานหลายทศวรรษ เมื่อพิจารณาข้อได้เปรียบของหลอดไฟ LED จะพบว่า หลอดไฟ LED สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าหลอดไฟแบบอื่น ๆ หลายเท่า โดยประหยัดไฟฟ้าได้สูงสุด 85 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับหลอดไส้ และสูงสุด 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ในทางเทคนิค ชิป(chip)เป็นชิ้นส่วนที่เคลือบสารกึ่งตัวนำจะถูกเจือ (ผสมสิ่งเจือปนลงในสารกึ่งตัวนำที่มีความบริสุทธิ์ระดับสูง เพื่อปรับคุณสมบัติทางไฟฟ้า) และสร้างสิ่งที่เรียกว่า รอยต่อพี-เอ็น (p-n junction) โดยที่ 'p' คือแอโนดหรือขั้วบวก และ 'n' คือแคโทดหรือขั้วลบ ส่วน “ตัวพาประจุ” ซึ่งอยู่ในรูปของ 'โฮลและอิเล็กตรอน' จะไหลอยู่ในรอยต่อพี-เอ็น เมื่ออิเล็กตรอนตกลงสู่โฮลที่ระดับพลังงานต่ำกว่า พลังงานจะถูกปล่อยออกมาในรูปของโฟตอน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Electroluminescence ซึ่งทำให้เกิดแสงสว่าง อย่างไรก็ตาม พลังงานส่วนใหญ่ที่ปล่อยออกจากหลอดไส้จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนแทนที่จะเป็นแสงสว่าง จึงเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายอันเนื่องมาจากความร้อนได้หากสัมผัสหลอดไส้ในขณะที่เปิดใช้งาน ส่วนหลอดไฟ LED นั้นใช้พลังงานน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญจึงไม่ปล่อยพลังงานความร้อนมากนัก โดยทั่วไปจึงไม่ทำให้เกิดอันตรายอันเนื่องมาจากความร้อน นอกจากนี้หลอดไฟ LED ยังได้รับการออกแบบให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดไฟทั่วไปประมาณ 50 เท่า นั่นหมายความว่า หลอดไฟชนิดนี้ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการตกบันไดเวลาเปลี่ยนหลอดไฟได้ ทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการเกิดขยะพิษอีกด้วย
      A : เพราะหลอดไฟ LED โดยทั่วไป ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟมาตรฐานถึง 90% ทั้งยังมีสเปกตรัมของแสงที่แตกต่างซึ่งมาพร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าสิบปี หลอดไฟ LED จึงช่วยประหยัดพลังงานและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หากทั่วโลกให้การยอมรับและเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 30 แห่งจะหมดประโยชน์ลงทันที!
      A : LED มีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพและความทนทานระดับสูง หรืออายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าผลิตภัณฑ์ให้แสงสว่างแบบอื่น ๆ จึงลดความจำเป็นในการบำรุงรักษาลงอย่างมาก นั่นหมายถึงการประหยัดพลังงาน การประหยัดค่าบำรุงรักษา และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ LED ยังช่วยเพิ่มศักยภาพการควบคุมสัญญาณออปติคัล (ควบคุมแหล่งกำเนิดแสงได้มากขึ้น) การควบคุมการหรี่แสงและการเปิด/ปิดหลอดไฟแบบ Instant (ทันที) พร้อมลดอัตราการเสื่อมของหลอดไฟ (เพิ่มศักยภาพในการใช้งาน) ได้อีกด้วย
      A : ผลิตภัณฑ์ให้แสงสว่างจาก LED ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้มีอายุการใช้งานยาวนานตั้งแต่ 25,000 ถึง 50,000 ชั่วโมง อายุการใช้งานที่ยาวนานอย่างเหลือเชื่อของหลอดไฟ LED ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหลอดไฟบ่อย ๆ อีกต่อไป
      A : ระยะเวลาที่หลอดไฟ LED สามารถใช้งานได้ตามปกติ โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 30,000 ถึง 50,000 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาใช้งานดังกล่าวอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับคุณภาพและประเภทของไดรเวอร์ที่ใช้ ไปจนถึงจำนวนครั้งที่ไฟกระชากและความผันผวนของกระแสไฟฟ้า
      A : 50,000 ชั่วโมง คือ 50 เท่า ของอายุการใช้งานหลอดไส้ทั่วไป และ 5 เท่า ของอายุการใช้งานหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา (หลอดไฟ CFL) ในความเป็นจริง หากคุณมั่นใจเลือกใช้หลอดไฟ LED ของ LeKise เพียง 1 หลอด เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 6 ชั่วโมงต่อวัน หลอดไฟนั้นจะมีอายุการใช้งานยาวนานเกือบ 23 ปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายและค่าแรงในการบำรุงรักษาได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะเราทุกคนต่างมีหลอดไฟอย่างน้อย 1หลอดซึ่งติดตั้งอยู่ในจุดที่เข้าถึงยาก จนต้องใช้บันไดหรือปีนเสาเพื่อเปลี่ยนหลอดไฟ ทั้งนี้หากกล่าวถึงข้อดีสำหรับการใช้งานภาคครัวเรือน อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดไส้ถึง 50 เท่า นั่นหมายถึง การลดความเสี่ยงจากการตกบันไดขณะเปลี่ยนหลอดไฟลง 50 ครั้ง ส่วนข้อดีสำหรับการใช้งานภาคธุรกิจ นั่นคือ ค่าใช้จ่ายและค่าแรงในการบำรุงรักษาจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เศษเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมก็ลดลงมากเนื่องจากกระบวนการผลิตและการใช้งานหลอดไฟ LED ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไส้หรือหลอดไฟ CFL อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ด้วยผลิตภัณฑ์ให้แสงสว่างจาก LED ของ LeKise คุณจึงทิ้งหลอดไฟน้อยลง หมดกังวลเรื่องปริมาณสารปรอทอีกต่อไป
      A : อายุการใช้งาน หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่หลอดไฟ LED สามารถใช้งานได้ตามปกติ จนกระทั่งแสงสว่างของหลอดไฟ LED ลดลงเหลือเพียงค่าหนึ่งของความเข้มแสงที่เคยผลิตได้แต่เดิม ทั้งนี้สำหรับการใช้งานให้แสงสว่างโดยทั่วไป งานวิจัยด้านการมองเห็นระบุว่า ผู้ใช้งานจะเริ่มสังเกตเห็นว่าระดับแสงลดลง เมื่อความเข้มแสงที่ผลิตได้แต่เดิมเหลือเพียง 70 เปอร์เซ็นต์
      A : สถานที่ 'เปียก' หมายถึง สภาพแวดล้อมซึ่งไม่มีการควบคุมสภาพอากาศและระยะที่ลมสามารถพัดพาน้ำเข้าสู่อาคารได้ ทั้งยังไม่มีการควบคุมความชื้นที่สามารถกลั่นตัวเป็นหยดน้ำในภายหลังอีกด้วย ส่วนสถานที่ 'ชื้น' หมายถึง สภาพแวดล้อมซึ่งไม่มีการควบคุมสภาพอากาศเช่นกันแต่อยู่ห่างจากระยะที่สัมผัสกับน้ำ (หากเกิดการสัมผัสกับน้ำ ก็จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่หยด) และอยู่ห่างจากตำแหน่งที่มีน้ำนิ่งอย่างน้อย 7 ฟุต ในขณะที่สถานที่ 'แห้ง' หมายถึง สภาพแวดล้อมซึ่งมีความชื้นน้อยกว่า 75% และไม่อยู่ในระยะที่สัมผัสกับน้ำ ทั้งนี้โปรดศึกษาเอกสารระบุข้อมูลเฉพาะของผลิตภัณฑ์เพื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการใช้งาน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการออกแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการใช้งาน
      A : ไม่ หลอดไฟ LED จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความถี่ในการเปิดและปิดสวิตช์ คุณสมบัตินี้ถือเป็นข้อดีที่แตกต่างจากคุณสมบัติของหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์อย่างชัดเจน เพราะหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์จะเสียเร็วหากเปิดและปิดสวิตช์บ่อย ๆ
      A : Color Rendering Index (CRI) หมายถึง ความสามารถของแหล่งกำเนิดแสงในการแสดงสีที่ถูกต้อง ยิ่งค่า CRI สูงเท่าใด แหล่งกำเนิดแสงจะแสดงสีทุกสีในสเปกตรัมที่ตามองเห็นได้ดีขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปหากต้องการแหล่งกำเนิดแสงที่มีประสิทธิภาพในการแสดงสี แหล่งกำเนิดแสงนั้นต้องมีค่า CRI >90
      A : หลอดไฟ LED เป็นนวัตกรรมที่ได้รับการออกแบบให้มีข้อได้เปรียบหลายประการเหนือหลอดไฟแบบดั้งเดิม กล่าวคือ หลอดไฟ LED ให้อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าและช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่า ทั้งยังมาพร้อมขนาดที่เล็กแต่แข็งแรงทนทานเหนือหลอดไฟแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแค่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดไฟ CFL และหลอดฟลูออเรสเซนต์ซึ่งมีสารปรอทและสารพิษที่เป็นอันตรายอื่น ๆ แต่ยังมาพร้อมสไตล์ รูปร่าง และขนาดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายอีกด้วย
      A : หลอดไฟ LED ผลิตขึ้นโดยใช้วัสดุที่ทนทานและมีคุณภาพสูง ทั้งยังได้รับการออกแบบให้ทนต่อแรงกระแทกและความร้อน เมื่อนำเหตุผลดังกล่าวมาประกอบกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการผลิต หลอดไฟ LED จึงมีประสิทธิภาพสูงและราคาแพงเมื่อเปรียบเทียบกับหลอดไฟธรรมดา อย่างไรก็ตาม ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ชดเชยได้ด้วยคุณสมบัติประหยัดพลังงานสูงถึง 90% ของค่าไฟภาคครัวเรือนและอายุการใช้งานที่ยาวนาน นั่นหมายความว่า การตัดสินใจเลือกใช้หลอดไฟ LED เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุด
      A : จริง เนื่องจากหลอดไฟ LED หรือไดโอดเปล่งแสงได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันให้ผลิตแสงสว่างจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนน้อย นวัตกรรมการออกแบบที่น่าทึ่งของหลอดไฟ LED ช่วยให้เราแปลงกระแสไฟฟ้าเป็นแสงสว่างได้ประมาณ 90% ในขณะที่เทคโนโลยีหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบดั้งเดิมทำได้เพียง 10-15% โดยส่วนที่เหลือจะสูญเสียไปในรูปของพลังงานความร้อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลอดไฟ LED มีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก ทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานในรูปของความร้อนได้มากกว่าอีกด้วย
      A : เมื่อพิจารณาเลือกซื้อหลอดไฟ สิ่งสำคัญที่คุณต้องทราบคือ อาคารที่พักอาศัยหรือที่ทำงานของคุณในปัจจุบันได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ฟิตติ้งประเภทใด จากนั้นจึงเลือกซื้อหลอดไฟตามประเภทของอุปกรณ์ฟิตติ้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากระบบไฟภายในอาคารที่พักอาศัยใช้อุปกรณ์ฟิตติ้งแบบ GU10 คุณก็ต้องซื้อหลอดไฟ LED แบบ GU10 เช่นกัน ไม่เช่นนั้นไฟจะไม่ติด
      A : ก่อนที่หลอดไฟ LED จะเริ่มเข้าสู่ท้องตลาด หลอดไฟประหยัดพลังงานชั้นนำคือ หลอดไฟ CFL ซึ่งย่อมาจาก Compact Fluorescent Light แม้หลอดไฟดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพสูงแต่ก็ส่งผลกระทบคล้ายคลึงกับหลอดฟลูออเรสเซนต์นีออนที่ใช้กันทั่วไปในห้องครัวรวมถึงพื้นที่สำนักงาน กล่าวคือ หลอดไฟ CFL ให้แสงสีฟ้า-ขาว และใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟแบบอื่น ๆ ทั่วไป เช่น หลอดไส้และหลอดฮาโลเจน ทว่าแหล่งกำเนิดแสงของหลอดไฟ CFL และหลอดฟลูออเรสเซนต์ยังเป็นสารปรอทและสารอันตรายอื่น ๆ หลายชนิดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้นตัวหลอดยังทำมาจากแก้วจึงแตกง่าย ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญในภาคครัวเรือนและธุรกิจ ในขณะที่หลอดไฟ LED ไม่มีสารพิษดังกล่าว ทั้งยังได้รับการออกแบบให้มาพร้อมสไตล์ที่หลากหลาย ใช้งานได้ทนทาน และแสงไฟก็ไม่กะพริบแบบหลอดไฟ CFL และหลอดฟลูออเรสเซนต์อีกด้วย
      A : ความแตกต่างจากหลอดไฟแบบดั้งเดิมคือ หลอดไฟ LED ไม่ใช้ไส้หลอดเป็นแหล่งกำเนิดแสง แต่หลอดไฟแบบดั้งเดิมใช้หลักการให้ความร้อนแก่ไส้หลอดเพื่อให้กำเนิดแสง ดังนั้นเวลาที่หลอดไฟแบบดั้งเดิมเสีย หลอดจะดับทันทีเนื่องจากไส้หลอดขาด สาเหตุที่ไส้หลอดขาดเป็นเพราะความร้อนสูงที่ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องยาวนานตลอดอายุการใช้งาน ในขณะเดียวกัน หลอดไฟ LED ที่เสียเพราะหมดอายุการใช้งานจะไม่ดับทันที แต่แสงจากหลอดไฟจะค่อย ๆ จางลง นอกจากนี้ สาเหตุที่หลอดไฟ LED มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50,000 ชั่วโมงได้ เป็นเพราะใช้ไดโอดซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำทดแทนไส้หลอดอีกด้วย
      A : เป็นไปได้แน่นอน ผลิตภัณฑ์ให้แสงสว่างส่วนใหญ่ของเราสามารถปรับระดับความเข้มแสงได้ ทั้งยังทำงานผสานเข้ากับอุปกรณ์ฟิตติ้งภายในอาคารที่พักอาศัยได้อย่างง่ายดาย เสมือนว่าคุณติดตั้งระบบปรับระดับไฟไว้ก่อนแล้ว
      A : สาเหตุที่หลอดไฟบางดวงจำเป็นต้องใช้หม้อแปลง ในขณะที่บางดวงไม่จำเป็นต้องใช้ เป็นเพราะลักษณะการเดินสายไฟภายในอาคาร อาคารที่พักอาศัยส่วนใหญ่ใช้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับแรงดันสูง (AC) 240V ซึ่งเข้ากันได้กับอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากที่จัดจำหน่ายในท้องตลาด หลอดไฟ LED แบบ MR16 จำเป็นต้องใช้หม้อแปลงเพราะใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) 12V แต่หลอดไฟ LED แบบ GU10, E27 และ B22 ไม่จำเป็นต้องใช้หม้อแปลงเพราะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) 240V อยู่แล้ว นั่นหมายความว่า ก่อนการเลือกซื้อหลอดไฟ LED คุณควรศึกษาลักษณะการเดินสายไฟภายในอาคารที่พักอาศัยก่อนเสมอ เพื่อความรอบคอบในการพิจารณาประเภทของอุปกรณ์ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน
      A : เมื่อตัดสินใจเลือกใช้หลอดไฟ LED สักดวง สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ Beam Angle หรือ มุมลำแสง ทั้งนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า มุมใดทำงานได้ดีและเหมาะสมที่สุดกับพื้นที่ใช้งาน หากมุมลำแสงแคบเกินไป (น้อยกว่า 45 องศา) จะให้ความสว่างสูงแต่ครอบคลุมพื้นที่ได้น้อยกว่า หรือมีลักษณะแบบสปอตไลต์ ทั้งยังส่งผลให้เกิดการกระจายแสงที่จำกัดหากนำไปใช้งานภายในห้องขนาดใหญ่ แต่มักใช้งานได้ดีกับพื้นที่เฉพาะจุด ยกตัวอย่างเช่น ม้านั่งในห้องครัว หรือ กระจกในห้องน้ำ ซึ่งต้องการแสงส่องเน้น อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้งานทั่วไปในภาคครัวเรือนหรือภาคธุรกิจ มุมลำแสงที่กว้างกว่า (60 องศา) ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งมุมลำแสงสูงเท่าใด แสงสว่างที่ได้จะครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้อาคารส่วนใหญ่มักเลือกใช้หลอดไฟที่มาพร้อมมุมลำแสงกว้างเสมอ
      A : ไม่ หลอดไฟ LED ไม่มีสารปรอทจึงสามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่มีสารอันตรายเป็นส่วนประกอบและไม่มีการใช้สารอันตรายในกระบวนการผลิตแต่อย่างใด
      A : การศึกษาต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า หลอดไฟ LED ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไฟ CFL ถึง 50% และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดไฟ CFL ถึง 10 เท่า หลอดไฟ LED มีคุณสมบัติเหนือกว่าหลอดไฟ CFL อย่างน่าทึ่งในทุกด้าน ทั้งความทนทาน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความทนต่อแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทก รวมถึงคุณภาพแสงที่ดีเยี่ยมไม่ว่าจะนำไปใช้งานภายในหรือภายนอกอาคาร

    Back to top