ช่วงนี้หลาย ๆ คน ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home) เพื่อช่วยกันหลีกเลี่ยง และลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
เมื่อเราต้องใช้ชีวิตประจำวันอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน  

แน่นอนว่าสิ้นเดือนค่าไฟในบ้านต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเกือบ 1-2 เท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้าจากอุปกรณ์ทำงาน อย่างเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค 

รวมไปถึงการใช้ทั้งแอร์, พัดลม หรือแสงสว่างจากหลอดไฟเพื่อช่วยในการทำงาน ส่งผลทำให้หลาย ๆ บ้าน ถึงกับอึ้ง เมื่อเจอบิลค่าไฟ ถึงแม้ว่า การ Work From Home จะทำให้ต้องใช้ไฟฟ้ามากกว่าเดิม 

เเต่เราก็มีวิธี ที่จะช่วยให้คุณประหยัดได้เช่นเดียวกัน

.

วันนี้ เลคิเซ่ ขอแนะนำวิธีการ  Work from Home อย่างไร ให้ค่าไฟไม่พุ่ง มาฝากกัน 

เทคนิคดี ๆ นี้จะช่วยทำให้คุณสามารถประหยัดค่าไฟได้ โดยไม่ต้องอึ้งกับบิลค่าไฟในเเต่ละเดือนอีกต่อไป

1. เปลี่ยนหลอดไฟธรรมดา มาใช้เป็นหลอดไฟ LED แทน

การเปลี่ยนมาใช้หลอด LED แทนหลอดไฟแบบเดิม  เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้คุณเซฟค่าไฟได้ เพราะหลอดไฟ LED กินไฟน้อยกว่า

เมื่อเทียบกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ความสว่างเท่ากัน  อายุการใช้งานยาวนานกว่า แถมปลอดภัยไม่มีรังสียูวีและอินฟาเรด

2. ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 

การอยู่บ้านจะมาพร้อมกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการ

เปิดทีวีคลายเหงา, เปิดพัดลม, เปิดเครื่องฟอกอากาศหรือเครื่องปรับอากาศในเวลาทำงาน พร้อม ๆ กัน 

ทำให้ค่าไฟพุ่งขึ้นมาได้ วิธีแก้ง่ายๆ คือให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกัน

เเต่เปลี่ยนมาเป็นสลับการใช้งานเเละกำหนดเวลาใช้ หลังใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเสร็จ ให้ถอดปลั๊กออกทุกครั้ง

ก็จะช่วยให้ประหยัดไฟเพิ่มมากขึ้น

3. เปิดหน้าต่างรับลมและรับแสงจากธรรมชาติ 

เปลี่ยนจากเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน ลองสลับมาเปิดหน้าต่างห้องทำงานเพื่อรับลมและแสงจากธรรมชาติ แทนการเปิดแอร์และเปิดไฟ
โดยเปิดหน้าต่างให้มีทางเข้าและทางออกของลม ไม่ควรนำสิ่งของ ไปบังช่องหน้าต่างหรือทิศทางเข้าออกของลม เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้มีลมเข้ามาช่วยระบายความร้อนภายในบ้านได้ 

และเพิ่มแสงสว่างให้ภายในห้อง โดยไม่ต้องเปิดแอร์หรือไฟเพิ่ม

4. ลดการเปิด - ปิด ตู้เย็นบ่อย ๆ  

อีกสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นแบบไม่รู้ตัว คือ การเปิด-ปิด ตู้เย็นบ่อย ๆ เพราะนอกจากจะทำให้ตู้เย็น ทำงานหนักแล้ว การเปิด - ปิด บ่อยเกินไป
ก็จะทำให้ขอบยางตู้เย็นเสื่อม ส่งผลให้ตู้เย็นปิดไม่สนิท และทำให้ค่าไฟแพงขึ้นได้

5. ตั้ง Sleep Mode คอมพิวเตอร์เมื่อไม่ใช้งาน

ในช่วงเวลาทำงานอาจจะมีเวลาพักเบรคเพื่อยืดเส้นยืดสาย แล้วไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์เกิน 10-15 นาที หรือจะเป็นช่วงพักกลางวันหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค แนะนำว่าให้ปิดหรือตั้ง Sleep mode เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยประหยัดไฟได้นั้นเอง

จากที่เลคิเซ่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงตัวเลือกในการลดค่าไฟได้ง่ายๆ ที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยไม่ต้องมากังวลเรื่องบิลค่าไฟที่จะมาในเเต่ละเดือนอีกต่อไป หากใครมีไอเดียในการลดค่าไฟที่ทำอยู่ในแต่ละเดือน สามารถมาแชร์กันได้เลยนะคะ